Monday, June 27, 2011

บทที่ 1 โลกานุวัตร กำเนิดทุนนิยม

ทุน
คือ หัวใจของระบบทุนนิยม ทุนเป็นที่มาของการปฏิวัติอุตสาหกรรม การปฏิวัติพลังการผลิต และการปฏิวัติทางสังคม ก่อให้เกิดพันธมิตรสงคราม การค้าอาวุธ และลัทธิชาตินิยม ทำให้เกิดการแข่งขัน การรวมกลุ่มเป็นประชาคมในระดับภูมิภาค ไปจนถึงระดับโลก ทุนจึงเป็นทรัพยากรโลกเพียงชนิดเดียวที่มีอิทธิพลเหนือสังคมมนุษย์โลก ประวัติศาสตร์โลกดำเนินไปเพราะการเปลี่ยนแปลงวิถีทางในการส ะสมทุน และขยายทุนนั่นเองมนุษย์เกิดขึ้นมาในโลกพร้อมกับการมีกิเลส และเกิดมาเพื่อสะสมกิเลสให้กับตัวเอง เมื่อมาอยู่รวมกันเป็นสังคม ก็จะจัดระเบียบทางสังคม เศรษฐกิจ ขึ้นตามอำนาจกิเลสที่ตนมี ผู้ที่แข็งแรงกว่าย่อมได้เปรียบผู้ที่อ่อนแอกว่า ผู้ที่ แข็งแรงและฉลาดจะได้เป็นผู้นำ เป็นเจ้าของทรัพย์สิน และเป็นเจ้าของอำนาจ จึงสร้างระบบการเมืองขึ้นมา ควบคุม และ เอาเปรียบมนุษย์ด้วยกันเองบทเรียนแรกแห่งการเข้าสู่กระแสโลกานุวัตร คือการกำเนิดขึ้นของระบบศักดินา และสมบูรณาญาสิทธิราช (ศตวรรษที่ 15 - 16) โดยที่เจ้าศักดินาเองจะเป็น ผู้กำหนดนโยบายการผลิต และการค้าด้วยตนเอง เพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้า วัตถุดิบ เงินทอง อำนาจ และศักดิ์ศรี นำไปสู่การบริโภค และการเผาผลาญทรัพยากรของโลก อย่างฟุ่มเฟือยในอนาคตเมื่อวัตถุดิบ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญ ในการผลิตหมดไปพร้อมจึงทำให้ระบบทุนนิยมดำเนินมาถึงจุดจบ และจะเกิดการปฏิวัติทางเศรษฐกิจทุนนินยมครั้งใหญ่อีกรอบหนึ่งภายใน ปี ค.ศ. 2000 จะเป็นการปฏิวัติพลังการผลิตท่ามกลางกองขยะและมลพิษที่กำลัง ท่วมท้นโลก เศรษกิจสังคมโลก จะอยู่ในภาวะวิกฤติตลอดเวลา เกิดสภาพไร้ระเบียบ (disorder) ไม่แน่นอน เป็นยุคกาลของระบบทุนนิยมที่พัฒนาไปสู่การล่มสลาย จะเรียกยุคนี้ว่า มิคคสัญญี ก็คงไม่ผิด ยุคโลกานุวัตร
เริ่มนับตั้งแต่ ศตวรรษที่ 15 มาจนถึงสิ้นสงครามโลก ได้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ต่อไปนี้
1. การปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ ในศตวรรณที่ 18 และฝรั่งเศส โดยนายทุนศักดินา ผู้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต คือ ที่ดิน ทาส แรงงาน และเป็นเจ้าของชีวิตคน มีการคิดค้นเครื่องจักรไอน้ำแทนแรงงานคน ทำให้เกิดความต้องการวัตถุดิบและแรงงานมากขึ้น
2. ลัทธิพาณิชนิยม (Mercantilism) โดยนายทุนศักดินา เป็นการก้าวเข้าสู่ระบบการค้าระหว่างประเทศ ที่ต้องผลิตสินค้าออกขายให้มากที่สุด เป็นการสะสมทุน ความมั่งคั่ง เงิน และทองคำ ให้แก่ประเทศของตน พร้อมกับการสร้างกองทัพ สู่การล่าอาณานิคมและการค้าทาส เพื่อนำวัตถุดิบและทาสไปใช้ในการอุตสาหกรรมในประเทศของตน
3. ลัทธิเสรีนิยม (Liberallism) เกิดขึ้น จากนายทุนปัจเจกชน ในระดับล่าง ทีมิใช่ศักดินา ลัทธินี้ เชื่อว่ามนุษย์ มีความเท่าเทียมกัน มีสิทธิเสรีภาพเสมอกันได้ แต่เพราะอำนาจของรัฐมากดขี่ไว้มิให้ประชาชนคิด พูด หรือกระทำตามปราถนาได้ โดยเฉพาะการผลิตและการค้า รัฐจะต้องเปิดอย่างเสรี ปรากฏการณ์ที่แสดงถึงความเฟื่องฟูของลัทธิเสรีนิยม คือ
3.1 เสรีภาพทางการเมือง ที่จะคิด พูดเขียน รับรู้ข่าวสาร มีความเท่าเทียมกันในการใช้อำนาจทางการเมือง ด้วยการจำกัดหรือลดอำนาจของรัฐลง จัดให้มีการเลือกตั้งตัวแทนเข้าไปบริหารประเทศ
3.2 เสรีภาพทางเศรษฐกิจ ในการมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนบุคคล เสรีภาพในการลงทุน สะสมทุน การแสวงหากำไร ความมั่งคั่ง และการบริโภค (ก้าวเข้าสู่ยุค Mass production) และ Mass comsumption) การเปิดตลาดแบบเสรี ทำให้เกิดการแข่งขันทางด้านการผลิต และการค้า ผู้ที่มีอำนาจกว่าย่อมได้เปรียบ
ผู้ด้อยอำนาจย่อมเสียเปรียบ ปราศจากการควบคุมจากรัฐ
การให้โอกาสในการประกอบธุรกิจแบบเสรีนี้ จะต้องอาศัยระบอบการปกครอง ที่เอื้อต่อ นักลงทุน นั่นคือระบอบประชาธิปไตย เพราะระบอบประชาธิปไตยจะไม่ใช้ความรุนแรง และเปิดให้ประชาชน มีส่วนร่วมในการปกครองได้ แต่ข้อเท็จจริงแล้ว อำนาจมักจะตกอยู่แก่พ่อค้านายทุน นับเป็นวิถีทาง ในการปกครองที่เหมือนดูดี เหมือนมีความชอบธรรม แต่แฝงไปด้วยการฉ้อฉล และเอารัดเอาเปรียบอย่างเลือดเย็น จนยากที่ประชาชนจะรู้ทัน ดังนั้น วิถีทางประชาธิปไตย น่าจะจัดเข้าเป็น "ลัทธิล่าอาณานิคมใหม่" ของนายทุนต่างชาติ คือการเข้าแทรกแซงทางการเมือง และการค้าด้วยการซื้อพ่อค้า และนักการเมืองไทย หรือแม้กระทั่งซื้อรัฐบาล เพื่อตนจะได้เข้าไปตักตวงเงินทอง ทรัพยากร และความร่ำร่วย แล้วขนเอาไปที่เมืองแม่ของตน โดยประชาชนในประเทศเหล่านั้น ต้องตกอยู่ในภาวะยอมจำนน เนื่องจากประชาชนเอง ก็ถูกหลอกให้พึ่งพาอำนาจของเงิน และตกเป็นทาส ของลัทธิการบริโภคอย่างฟุ่มเฟือย (Mass consumption) สร้างค่านิยมในด้านการกินอยู่ อย่างหรูหรา ฟุ่มเฟือย ตามลัทธิเสรีภาพแบบอเมริกา (Pax americana)
4. ลัทธิสังคมนิยม (Socialism) ผลของความเฟื่องฟูจากลัทธิเสรีนิยม ทำให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบระหว่างนายทุนกับกรรมกร รัฐจึงจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทในการจัดระบบทางเศรษฐกิจ และการเมืองใหม่ ด้วยการจำกัดเสรีภาพในการแข่งขัน และการเอารัดเอาเปรียบของนายทุน รัฐเป็นผู้กำหนดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจ และยึดปัจจัยการผลิตทั้งหมดมาเป็นของรัฐ แม้แต่กรรมกร ก็เป็นสมบัติของรัฐ ซึ่งต้องปฏิบัติตามคำสั่ง และแนวนโยบายของรัฐ แต่จะได้รับการเลี้ยงดูจากรัฐไปชั่วชีวิตเป็นการตอบแทน นี่คือการจัดตั้งเป็นรัฐสวัสดิการแบบสังคมนิยม
5. ลัทธิคอมมิวนิสต์ (Communism) จัดเข้าเป็นลักษณะหนึ่งของเศรษฐกิจทุนนิยมก็เพราะว่า มีการสะสมทุน มีระบบการจัดการในการผลิตแบบทุนนิยม เพียงแต่รัฐเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต แทนที่จะเป็นเอกชน ดังที่ประเทศในค่ายโลกเสรีเขากระทำกัน การจัดการด้านการผลิตและการบริการ นั้นก็ใช้หลักการเดียวกับ หลักเศรษฐศาสตร์ทุนนิยม เพียงแต่โลกทัศน์ ของคนในประเทศ ค่ายคอมมิวนิสต์ ถูกจำกัดให้ไม่ต้องคิด ไม่ต้องดิ้นรนที่จะเสพ เพราะทุกคนมีความเสมอภาคกัน ลัทธิคอมมิวนิสต์ จะใช้นโยบายทางเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดทิศทางของการเมือง ดังจะเห็นได้จาก ตัวอย่างต่อไปนี้
5.1 นายทุนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต กรรมกรเป็นผู้ใช้แรงงาน ทำให้นายทุนร่วมกันผูกขาดการสะสมทุนและกำไร สร้างความร่ำรวยให้แก่กลุ่มของตน ในขณะที่กรรมกรกลับถูกเอารัดเอาเปรียบและยากจนลง อันเป็นเงื่อนไขทำให้เกิดการปฏิวัติทางชนชั้นขึ้น
5.2 พรรมคอมมิวนิสต์ จะเป็นผู้กุมอำนาจเด็ดขาดทางการเมือง และทางเศรษฐกิจ
5.3 ทรัพยสินและปัจจัยการผลิตตกเป็นของรัฐ
6. สงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914 - 1818) มีสาเหตุมาจากการต่อสู้ระหว่างกระแสชาตินิยม กับกระแสจักรวรรดินิยม-ทุนนิยม การค้าอาวุธสงคราม และการประลองพลังทางอาวุธ
7. สงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1918 - 1945) มีสาเหตุมาจากการช่วงชิงเขตตลาดการค้า วัตถุดิบ และดินแดนที่สูญเสียไปนั้น กลับคืนมา ต้องการแข่งขันกันทางด้านอาวุธ และการแผ่ขยายลัทธิชาตินิยม หลังสงครมโลกครั้งที่ 1 ได้ เกิดลัทธิเผด็จการฟาสซิสต์ (อิตาลี) นาซี (เยอรมันนี) และจักรวรรดินิยมญี่ปุ่น ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อต้องการครอบครองโลกแต่เพียงกลุ่มเดียว ต้องการล้มล้างลัทธิเสรีนิยม และลัทธิคอมมิวนิสต์
ระเบียบโลกใหม่ Pax Americana หรือสันติภาพแบบอเมริกา เกิดขึ้นภายหลังสงครามโลก เมื่อสงครามยุติลง ฝ่ายเผด็จการ ได้รับความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากที่สุด ตามด้วยประเทศคู่สงครามอื่น ๆ เว้นแต่สหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวที่ไม่ได้รับความสูญเสีย กลับผงาดขึ้นมา เป็นประเทศผู้นำในระดับโลก พร้อมกับการหาวิถีทางฉกฉวยผลประโยชน์ และทรัพยากรของประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สาม ที่ยากจน แต่มากมายด้วยวัตถุดิบ ด้วยสายตาอันยาวไกล ดุจพญาอินทรี อเมริกาจึงถือโอกาสประกาศตน เป็นพี่เบิ้มทางเศรษฐกิจทุนนิยม และทำตัวเป็นตำรวจโลก ด้วยการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศยากจนทั้งหลาย ในรูปขององค์การต่าง ๆ ตั้งแต่ การิริ่มก่อตั้ง องค์การสหประชาชาติ ไปจนถึงองค์การที่ช่วยเหลือ ทางด้านเศรษฐกิจ การศึกษ สาธารณูปโภค พร้อมกันนั้น ก็มีการฟื้นฟูลัทธิเสรีนิยมยม ขึ้นมาใหม่ เรียกว่าประชาธิปไตยมวลชน (Mass democracy) เพื่อนำมาเป็น เครื่องมือ ในการแผ่ขยาย ลัทธิระเบียบโลกใหม่ ตามแบบอเมริกา Pax Americana มีสาระสำคัญดังนี้
1. อเมริกาได้กลายเป็นศูนย์กลางของระบบเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมของโลก ผูกขาดการลงทุนในทั่วภูมิภาคตของโลก โดยบรรษัทข้ามชาติของมหาอำนาจทุนนิยม
2. ฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกใหม่ หลังสงครามโลก ในยุโรปตะวันตก (เยอรมันนี) และญี่ปุ่น ด้วยการระดมทุนช่วยเหลือจากอเมริกา (จ่ายก่อน ทวงคืนภายหลัง)
3. สร้างฐานทัพ และรัฐทหารขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลก โดยอยู่ในความดูแลของอเมริกา เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน และกีดกันการแผ่ขยายของลัทธิสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ ตลอดจนสะกัดกั้นสงครามปลดปล่อยประชาชาติในประเทศโลกที่สาม (1955 - 1960)
4. สร้างศูนย์อารยธรรมทุนนิยม คือ การจัดให้มีรัฐสวัสดิการ แบบอเมริกา ประชาธิปไตยมวลชน (Mass democracy) การผลิตให้ได้คราวละมาก ๆ (Mass production) และ การบริโภคอย่างฟุ่มเฟือย (Mss consumption) ทำให้เกิดการทำลาย ทรัพยากรของโลกในทุกภูมิภาค อย่างมหาศาล
5. เกิดสงครามเย็น อันเป็นการรักษาดุลอำนาจ ระหว่างประเทศใน ค่ายโลกเสรี (อเมริกา) และประเทศในค่ายสังคมนิยม (รัสเซีย) นำไปสู่การพัฒนา และการสะสมอาวุธนิวเคลียร์ ครั้งใหญ่
6. เปลี่ยจากลัทธิล่าเมืองขึน มาเป็น "รัฐทุนนิยม" ภายใต้ข้อกำหนดและแผนพัฒนาประเทศที่อเมริกานำเสนอ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และขบวนการในการสะสมทุน ขยายทุน และการแสวงหากำไร ของมหาอำนาจทุนนิยม รัฐทุนนิยมจึงเป็นรัฐที่เปรียบเสมือนรัฐเจ้าหนี้ และรัฐลูกหนี้ที่พึงกระทำต่อกัน เช่น
-การให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงิน โดยผ่านธนาคารโลก (World Bank) กับกองทุนการเงินระหว่างประะทศ (IMF)
-การให้ความช่วยเหลือทางด้านการค้า ด้านการสาธารณูปโภค ด้านการศึกษา ตามแบบที่อเมริกากำหนด

No comments:

Post a Comment