Tuesday, August 7, 2012

ไทยรัฐ - หนุ่มภูเก็ตวิ่งเก๋งอัดเสาไฟตายคาที่

Pic_270758
หนุ่มเมืองภูเก็ตซิ่งเก๋งกลับบ้านกลางดึก เสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้ารถแหลก ตายคาที่ ตำรวจคาดหลับใน...

เมื่อเวลา 04.30 น.วันที่ 24 มิ.ย.ร.ต.อ.สมชาย หนูบุญ ร้อยเวร สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าเกิดอุบัติเหตุรถยนต์เก๋งอัดก๊อบปี้กับเสาไฟฟ้าใต้สะพานลอยหน้าโรงเรียนบ้านท่าเรือ ถ.เทพกระษัตรี ต.เทพกระษัตรี อ.ถลาง มีผู้เสียชีวิตติดคาซากรถ จึงพร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต นำอุปกรณ์ตัดถ่างรุดไปตรวจสอบ

เดลินิวส์ - หนุ่มใหญ่พุ่งฟอร์ดชนเสาไฟฟ้าดับอนาถ

หนุ่มใหญ่ ชาวภูเก็ต ขับรถฟอร์ดเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้าเกือบขาด‏ บาดเจ็บสาหัสส่งรพ.ทัน แต่ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตเวลาต่อมา

0.jpg (600×400)


รับแจ้งมีอุบัติเหตุรถยนต์ชนเสาไฟฟ้า ถนนเทพกระษัตรี  สายขาออกนอกเมือง ภูเก็ต หน้าที่ทำการเทศบาลตำบลศรีสุนทร  ต.ศรีสุนทร อ.ถลาง ผู้บาดเจ็บติดรถ 1 คน  ไปตรวจสอบพบรถกระบะฟอร์ดสีขาวแบบสี่ประตู ทะเบียน ก 9399 กรุงเทพมหานคร  ชนติดเสาไฟฟ้าแรงสูงเกือบขาด พร้อมช่วยเหลือผู้บาดเจ็บออกมานำส่งรพ. ถลาง 
ต่อมาทราบชื่อผู้บาดเจ็บคือนาย พิชัย ช่วยแท่น อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 35/3 ถนนดำรงค์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต สอบถามชาวบ้านทราบว่าก่อนเกิดเหตุได้ยินเสียงรถเบรกอย่างแรงก่อนเสียหลักชนเสาไฟฟ้าขนาดใหญ่ เสียงดังสนั่นหวั่นไหวคล้ายเสียงระเบิด


http://www.dailynews.co.th/thailand/116346




Sunday, April 1, 2012

ขว้างระเบิดใส่บ้านผู้ต้องหาคดียาเสพติด



เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2555 พ.ต.ท.สมคิด ขาวสังข์ สารวัตรเวร สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีเหตุคนร้ายลอบปาระเบิดใส่บ้านเรือน ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 คน และทรัพย์สินของประชาชนได้รับความเสียหายจำนวนมาก เหตุเกิดบริเวณหมู่บ้านจัดสรร บดินเฮาส์ ตรงข้ามตลาดสดเทศบาลตำบลเทพกระษัตรี หลังรับแจ้งก็ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นก็ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วยพ.ต.ท.ศุภวิชญ์ สุวรรณภิรมย์ รอง ผกก.ป.พ.ต.ท.พิสิษฐ์ ชื่นเพชร รอง ผกก สส. เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.ถลาง เจ้าหน้าที่วิทยาการเขต จังหวัดภูเก็ต และเจ้าหน้าที่มูลนิธิอาสาบ้านในคลำ

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านจัดสรร ซึ่งเป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์ ชั้นเดียว บริเวณบ้านเลขที่ 310/74 ซอยที่ 5 ทราบผู้เป็นเจ้าของบ้าน คือ นายมงคล เบญจพรรณ อายุ 32 ปี พบรอยเลือดไหลเป็นทางยาว และประตูรั้วหน้าบ้านเปิดค้างไว้ บริเวณลานจอดรถหน้าบ้านพบรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน กธ-3221 ภูเก็ต จอดอยู่สภาพประตูด้านหลัง ด้านคนขับเปิดค้างไว้ บริเวณกระจกด้านหน้ามีรอยร้าว ตรวจสอบภายในรถพบเศษสะเก็ดระเบิดตกอยู่จำนวนมาก นอกจากนี้แรงระเบิดยังทำให้คอนโทรลด้านหน้ารถ-เครื่องเสียง แตกกระจายได้รับความเสียหายทั้งหมด ห่างจากรถยนต์ไปประมาณ 2 เมตร พบสายไฟฟ้า 1 ขด สีพ่นรถยนต์ 2 กระป๋องและอุปกรณ์ ซ่อมรถยนต์วางอยู่จำนวนมาก ใกล้กันพบรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮ้อนด้า รุ่นเฟว 100 สีน้ำเงินฟ้า หมายเลขทะเบียน กรย-1 ภูเก็ต ถูกแรงระเบิดได้รับความเสียหาย นอกจากนั้นแรงระเบิดยังทำให้กระจก-พื้นปูนบริเวณฝ้าเพดานของบ้านหลังดัง กล่าวแตกกระจายทั่วบริเวณ

จากการตรวจหาพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุของเจ้าหน้าที่ พบเศษท่อพีวีซี สีฟ้า ลูกปลายรถจักรยานยนต์ น้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ 1 ขวดตกอยู่ คาดว่าน่าจะเป็นระเบิดที่คนร้ายประดิษฐ์ขึ้นเอง ตรวจสอบไม่พบผู้ได้รับบาดเจ็บทราบว่ามีผู้รับตัวไปแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบจึงได้ออกกระจายกำลังกันค้นหาในโรง พยาบาลทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชนทุกแห่งในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต แต่ไม่พบประวัติคนถูกระเบิดเข้ารับการรักษาแต่อย่างใด
นอกจากนั้นที่หน้าบ้านเลขที่ 310/75 ซึ่งอยู่ติดกันทราบว่าเป็นบ้านพักของนางศรัญญา ทิพย์บำรุง อายุ 37 ปี พนักงานโรงแรมบันยันทรี ซึ่งถูกแรงระเบิดส่งผลให้รถยนต์เก๋งสีบอนซ์ ยี่ห้อโตโยต้า หมายเลข กท-586 ภูเก็ต ที่จอดอยู่ในบ้านกระจกด้านหน้าและด้านหลัง รวมทั้งฝ้าเพดาน-กระจกบ้านแตกกระจาย บริเวณด้านหน้ารถคันดังกล่าวยังพบสุนัขนอนตายอยู่ 1 ตัว นอกจากนี้บริเวณรั้วหน้าบ้านยังพบรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮ้อนด้า รุ่นซีวิค หมายเลขทะเบียน กธ3221 ภูเก็ตถูกระเบิดจนได้รับความเสียหายอย่างหนักด้วยเช่นกัน ตรวจสอบภายในบ้านพบเศษกระเบื้องตกอยู่จำนวนมาก และพบเศษท่อพีวีซี ดินประสิว ลูกปลายรถจักรยานยนต์ น้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ ตกอยู่จำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐานต่อไป

จากการสอบสวนนางศรัญญา เจ้าของบ้านหลังที่ได้รับความเสียหาย บอกว่า ก่อนเกิดเหตุขณะนอนอยู่ในห้องหน้าบ้านกับสามีและลูกชายวัย 6 เดือนเศษ ได้ยินเสียงรถยนต์กระบะลักษณะรถแต่งซิ่งดัดแปลงท่อไอเสีย มีเสียงดังมาก แล่นเข้ามาวนเวียนอยู่ในหมู่บ้านหลายรอบ ขณะนั้นนายมงคล เจ้าของบ้านเลขที่ 310/74 ได้ล้างรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน กธ-3221 ภูเก็ต อยู่หน้าบ้าน และคนร้ายได้ปาระเบิดเข้าไปภายในบ้านหลังดังกล่าว จนทำให้นายมงคล ได้รับบาดเจ็บบริเวณขาด้านขวา จากนั้นคนร้ายก็ได้ปาระเบิดลูกที่ 2 ซ้ำอีกครั้ง แต่ด้วยน้ำหนักการขว้างแรงเกินไปทำให้ระเบิดลูกที่ 2มาตกบริเวณบ้านของตน ทำให้รถยนต์เก๋ง 2 คัน กระจก ฝ่าเพดาน ได้รับความเสียหาย นอกจากนั้นสุนัข ชื่อ “เมโล” ถูกแรงระเบิดจนไส้ทะลักและเสียชีวิตทันที และคนร้ายได้ขับรถยนต์กระบะคันดังกล่าวหลบหนีออกไปจากหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว

สำหรับแนวทางการสืบสวนสาเหตุการปาระเบิดดังกล่าว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพบประวัตินายมงคล เบญจพรรณ เจ้าของบ้านเลขที่ 310/74 มีพฤติกรรมพัวพันกับการค้ายาเสพติด เคยต้องถูกจับคดีเกี่ยวกับยาเสพติด ทั้งเสพ ครอบครอง และจำหน่ายมาแล้ว ถึง 4 ครั้ง ในจำนวน 4 ครั้ง ได้ถูกจับเจ้าหน้าที่ ปปส.ภูเก็ต จับกุมขณะบวชเป็นพระอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งใน อ.ถลาง ในข้อหาจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเทภ 1 ยาบ้า ขณะนี้อยู่ระหว่างการประกันตัว และขณะนี้หนีหมายจับของสภ.โคกกลอย จ.พังงา คดีเกี่ยวกับยาเสพติดอีก 1 หมาย โดยมีการเข้าออกจังหวัดภูเก็ต-พังงา อยู่เป็นประจำ และล่าสุดได้เข้ามาเมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนสาเหตุระเบิดครั้งนี้ เจ้าหน้าที่สันนิษฐานเชื่อว่าน่าจะมาจากเรื่องการหักหลังเกี่ยวการค้ายาเสพ ติด ขณะนี้เจ้าหน้าที่เร่งสืบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

เขียนโดย ยงยศ พฤกษารักษ์

ยกระดับตลาดทวีสมานซอยพะเนียงให้ทันสมัย



เมื่อเช้าวันที่ 31 มีนาคม 2555 พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ จเรตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานเปิดตลาดทวีสมาน ซึ่งตั้งอยู่ปากซอยพะเนียง เลขที่ 30/98 ถ.ประชาอุทิศ ต.รัษฎา จ.ภูเก็ตซึ่งบริหารงานโดยนายธีรวัฒน์ ทวีสมาน เจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด โชคทวี โดยมีนายเรวัต อารีรอบ ส.ส.ภูเก็ต เขต 2, พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผู้บังคับการกองกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พ.ต.อ.ชลิต แก้วยะรัตน์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต นายศุภชัย โพชนุกูล นายอำเภอเมืองภูเก็ต ตลอดจนพ่อค้าแม่ค้าในตลาดร่วมเป็นเกียรติ โอกาสเดียวกันนี้ยังได้มีการมอบที่ดินพร้อมที่พักสายตรวจให้กับทางตำรวจภูธร ภูเก็ตด้วย

นายธีรวัฒน์ ทวีสมาน เจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด โชคทวี ผู้บริหารตลาดทวีสมาน เปิดเผยว่า จากการที่ได้บริหารตลาดทวีสมานดังกล่าวมาเป็นเวลาประมาณ 6 – 7 ปี จนสามารถซื้อที่ดินซึ่งเคยเช่ามาเป็นของตัวเอง ประกอบกับการขยายตัวของชุมชนย่านซอยพะเนียงและชุมชนสามกองอย่างต่อเนื่อง มีผู้คนอยู่อาศัยอย่างหนาแน่น ดังนั้นเพื่อเป็นการรองรับการเติบโตและขยายตัวของชุมชนดังกล่าว จึงได้ตัดสินใจทำการพัฒนาตลาดทวีสมานให้มีความทันสมัย มีมาตรฐานความสะอาด ปลอดภัย และสะดวกสบายมากขึ้น ใช้งบในการพัฒนาประมาณ 5-6 ล้านบาทเศษ โดยได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคมเป็นต้นไป

“ตลาดทวีสมาน มีเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่เศษ มีแผงค้าให้บริการจำหน่ายสินค้าจำนวน 120 แผง มีพื้นที่ให้เลือกทั้งขนาด 3x3 เมตร และ 3.5x3 เมตร ซึ่งในส่วนของราคาค่าเช่าแผงก็แตกต่างไปตามขนาดของพื้นที่ โดยแบ่งเป็นโซนสินค้าประเภทต่างๆ มีทั้งอาหารสด อาหารแห้ง อาหารสำเร็จรูป เสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีจัดพื้นที่สำหรับการจอดรถยนต์ซึ่งรองรับได้ประมาณ 30-40 คัน เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการ โดยตลาดจะเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 05.00 น. – 22.00 น.”

นายธีรวัฒน์ กล่าวด้วยว่า นอกจากพัฒนาตลาดให้ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับแล้ว เรายังให้ความสำคัญกับการดูแลความปลอดภัยให้กับผู้ค้าและผู้ใช่บริการ ด้วยการติดตั้งกล้อง CCTV รวมทั้งยังได้บริจาดที่ดินและสร้างป้อมตำรวจ พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ บริเวณหน้าตลาด รวมมูลค่าประมาณ 1 ล้านบาท เพื่อเป็นการตอบแทนให้กับสังคม รวมทั้งยังจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนทั้งที่มาจับจ่ายซื้อ สินค้าและพักอาศัยอยู่ในย่านดังกล่าว เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าในบริเวณนี้จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นบ่อยประกอบกับสถานี ตำรวจอยู่ค่อนข้างไกลทำให้การเข้าถึงของเจ้าหน้าที่ล่าช้าและไม่ทันการณ์ ดังนั้นเชื่อว่าการมีป้อมตำรวจตั้งอยู่ในบริเวณนี้จะทำให้เหตุร้ายต่างๆ ลดลง

ขอขอบคุณ ภูเก็ตโพสต์นิวส์

“ภูเก็ตธานี” เปิดเฟส 3 โครงการ 2



เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2555 ที่โครงการภูเก็ตธานี ถนนศักดิเดช ซอย 1 อ.เมือง ภูเก็ต นายธวัช เตียววัฒนกุล ประธานกรรมการ บริษัท สยาม ไอส์แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้บริหารโครงการภูเก็ตธานี พร้อมด้วยผู้บริหารและทีมงาน ได้จัดการแถลงข่าว การเปิดตัวโครงการภูเก็ตธานี 2 เฟส 3 เพื่อรองรับการขยายตัวในเขตเมือง หลังจากโครงการ ภูเก็ตธานี ได้รับการตอบรับจากพี่น้องประชาชน

ทั้ง นี้นายธวัช เตียววัฒนกุล ผู้บริหารโครงการภูเก็ตธานี ได้กล่าวว่า ด้วยโครงการภูเก็ตธานี ได้รับการตอบรับจากชาวภูเก็ตเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นโครงการภูเก็ตธานี โครงการ 1 บ้านท่าเรือ ต.ศรีสุนทร อ.ถลาง ภูเก็ต โครงการภูเก็ตธานี โครงการ 2 เฟส 1 ซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ อยู่บนถนนศักดิเดช ซอย 1 อ.เมือง ภูเก็ต ส่วนเฟส 2 ซึ่งเป็นบ้านพักอาศัย จึงได้เปิดเฟส 3 ขึ้นทำเลที่เหมาะสม เนื่องจากว่าเป็นสถานที่ที่เดินทางสะดวก อยู่ในเขตเมือง ใกล้ห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณสวนหลวง ร.9 ธนาคาร โรงเรียน โรงพยาบาล ศูนย์ราชการ เป็นต้น โดยลักษณะรูปแบบทรอปปิคอลโมเดิ้ล เพื่อตอบสนองพื้นที่ใช้สอยในทุกรูปแบบและใช้ชีวิตได้สะดวกสบายในบ้านหลัง ใหญ่อันอบอุ่น
สำหรับ โครงการภูเก็ตธานี 2 เฟส 3 มีเนื้อที่ทั้งหมด 37ไร่ โดยแบ่งพื้นที่ 12 ไร่ สร้างอาคารพาณิชย์ และบ้าน 2 รูปแบบ รวม 71 ยูนิต ประกอบด้วย อาคารพาณิชย์ 3 ชั้น จำนวน 29 ยูนิต ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ เนื้อที่เริ่มต้น 21.20 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 191 ตร.ม. อาคารหน้ากว้าง 5 เมตร และลานจอดรถหน้าอาคารมีความกว้างขวาง เพื่อรองรับลูกค้าการการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ บ้านแผด 2 ชั้น จำนวน24 ยูนิต ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ ขนาดที่ดิน เริ่มต้น 40 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 150 ตร.ม. ซึ่งจะให้ความรู้สึกเหมือนบ้านเดี่ยว ส่วนพื้นที่ที่ติดกันจะมีเพียงห้องชั้นล่างซึ่งกั้นด้วยผนัง 2 ชั้น และบ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน18 ยูนิต ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 3 ห้องนอน 2 ที่จอดรถ ขนาดที่ดิน เริ่มต้น 64 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 207 ตร.ม. เป็นบ้านสวยหลังใหญ่ที่สามารถรองรับการปรับเปลี่ยนได้ถึง 5 ห้องนอน ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 400 ล้านบาท และพื้นที่ที่เหลือจะมีการพัฒนาให้เป็นคอนโดมีเนียม ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการออกแบบเพื่อให้เหมาะสมกับพื้นที่


ในส่วนของการตลาดในช่วงของวันที่ 31 มีนาคม – 2 เมษายน 2555 หากลูกค้าจองจะได้รับ แอร์ 12,000 BTU ปูทรายล้างโรงจอดรถ สำหรับบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ถังเก็บน้ำบนดิน 2,000 ลิตร ปั้มน้ำพร้อมติดตั้ง และบริการวางท่อกำจัดปลวกพร้อมรับประกัน 1 ปี


นายธวัช ยังกล่าวอีกว่า ในขณะนี้มียอดจองบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดแล้วประมาณ 50% ส่วนอาคารพาณิชย์ยอดจองประมาณ 30% และคาดว่าจะสามารถปิดยอดการขายในเฟรสที่ 3 นี้ได้ในอีก 6 เดือนข้างหน้าและจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 2 ปี จึงจะแล้วเสร็จ วัสดุที่ใช้จะเป็นสินค้าเกรดดี และทำด้วยความประณีต มีคุณภาพ ซึ่งทุกโครงการที่ผ่านมาเราได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีมาก และมีการบอกต่อกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจในโครงการของเราที่มีการพัฒนา และเราจะพัฒนาโครงการให้ดียิ่งขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของชุมชนและตอบสนอง ความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด






เขียนโดย ยงยศ พฤกษารักษ์

Friday, March 9, 2012

ป.ป.ท. ตรวจพื้นที่ป่าต้นน้ำเทือกเขากมลา


เมื่อ วันที่ 8 มีนาคม 2555ที่บริเวณเทือกเขากมลา ต.กะทู้ อ.กะทู้ ภูเก็ต พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ท. พร้อมคณะ ได้เดินทางไปตรวจสอบพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเทือกเขากมลา ได้รับการร้องเรียนว่ามีผู้พยายามขอออกเอกสิทธิ์ในพื้นที่ดังกล่าว เนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ ทั้งๆ ที่เป็นพื้นที่อนุรักษ์โซนซี สภาพเป็นป่าดิบชื้น มีต้นไม่ขนาดใหญ่ และเป็นป่าต้นน้ำ
สำหรับ พื้นที่ดังกล่าวห่างจากถนนทางเข้าน้ำตกกะทู้แยกตรงบริเวณซอยน้ำตกกะทู้ ร.6 ไปกว่า 10 กิโลเมตร สภาพถนนแคบคดเคี้ยวและลาดชัน โดยมีการลาดยางไว้เป็นระยะๆ ก่อนที่จะไปถึงพื้นที่ที่ถูกระบุว่ามีการขอออกโฉนดจะมีต้นไม้ขนาดใหญ่ บางส่วนเป็นสวนยาง สวนผลไม้ อาทิ ทุเรียน ลองกอง หมาก สะตอ เป็นต้น มีการตั้งที่พักอาศัยประปราย เมื่อไปถึงพื้นที่ที่ถูกระบุพบสภาพเป็นป่าดิบชื้น มีต้นไม้เก่าแก่ขนาดใหญ่นานาชนิด และไม้ป่าทั่วๆ ไป พื้นที่มีความลาดชันค่อนข้างมาก ไม่มีการทำประโยชน์ใด หากในช่วงที่ท้องฟ้าโปร่งจะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของชายหาดป่าตองได้อย่าง ชัดเจน นอกจากนี้ยังมีการตรวจพบการปักเสาปูและข้างๆ จะมีมุดบอกระวางพื้นที่ด้วย
พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ท. กล่าวว่า การเข้ามาตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว เป็นความร่วมมือของ ป.ป.ท. กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากประชาชน เพื่อตรวจสอบว่าจะมีการประทุษกรรมผืนแผ่นดินของส่วนรวม เพื่อป้องกันไม่ให้ไปตกอยู่ในมือของนายทุนหรือกลุ่มข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คน ใด และจากการตรวจสอบเบื้องต้นก็พบว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าที่มีความสมบูรณ์ มาก เป็นป่าต้นน้ำสำคัญ และมีความลาดชันมาก จึงไม่น่าที่จะออกโฉนดได้
“จาก ข้อมูลที่ทาง ป.ป.ท.ได้รับจากประชาชนที่ร้องเรียนและข้าราชการบางส่วนที่ยังหวงแหนแผ่นดิน นั้น โดยในการทำงานจะมีการตั้งข้อสันนิษฐานว่าน่าจะมีข้าราชการเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะดูจากสภาพของพื้นที่ซึ่งเป็นธรรมชาติที่มีความสมบูรณ์ เป็นป่าดิบชื้นและมีความลาดชันค่อนข้างมาก จึงไม่น่าจะออกโฉนดได้แต่กลับยังมีความพยายามที่จะออก ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ร่วมมือก็คงไม่สามารถทำได้ เท่าที่ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ทราบว่ามีผู้พยายามที่จะขอออกเอกสาร สิทธิ์เนื้อที่ประมาณ 200 ไร่”
พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวว่า ในกรณีที่ดินแปลงดังกล่าวซึ่งเชื่อได้ว่าน่าจะมีข้าราชการเข้าไปเกี่ยวข้อง นั้นยังไม่สามารถบอกได้ว่ามีระดับใดบ้างคงต้องขอดูหลักฐานที่ชัดเจนก่อน ขณะนี้ทราบชื่อซึ่งมีส่วนพ้องอยู่แล้วแต่ยังมีทราบนามสกุลเพราะพึ่งได้รับ รายงาน โดยอยู่ระหว่างตรวจสอบ ซึ่งหากข้าราชการระดับสูงทำผิดเองโทษก็จะหนักกว่าเจ้าหน้าที่ระดับอื่นๆ และเมื่อพ้นจากอำนาจของ ป.ป.ท.แล้วก็จะส่งต่อให้ ป.ป.ช.ดำเนินการตรวจสอบต่อ และในระดับนี้หากมีข้าราชการระดับสูงเข้ามาเกี่ยวข้องก็อาจจะต้องขอให้มีการ ตรวจสอบทรัพย์สินด้วย
“แนว ทางที่ ป.ป.ท.ดำเนินการในเบื้องต้นจะต้องไม่ให้มีการออกเอกสารสิทธิ และจะต้องเอาผืนแผ่นดินกลับคืนมา เพราะคนที่เข้ามาครอบครองอยู่ในปัจจุบันถือว่ามีความผิดสำเร็จแล้วจะต้อง แจ้งให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการให้เขาออกจากพื้นที่ ซึ่งในส่วนของ ป.ป.ท.คงเน้นกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะลักษณะเช่นนี้คงทำได้ยากหากไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้อง”
พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณชาวภูเก็ตและข้าราชการบางส่วนที่ให้ข้อมูลกับ ป.ป.ท. เพราะหากทำเพียงลำพังคงไม่สำเร็จแต่จะต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานอื่น ด้วย โดยในการลงมาทำงายระยะ 4-5 เดือนแรกนี้ คงจะทำให้ทราบได้ว่าในพื้นที่ จ.ภูเก็ตมีที่ดินแปลงใดและบริเวณใดบ้างที่น่าเชื่อว่ามีการออกเอกสารสิทธิ์ ไม่ถูกต้อง และเตรียมที่จะมีการออกเอกสารสิทธิอยู่มากน้อยเพียงใด
อย่าง ไรก็ตาม พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวอีกว่า จริงๆ แล้วภูเก็ตไม่ใช่เป็นสมบัติของเฉพาะคนไทยเท่านั้นแต่เปรียบเหมือนเป็นสมบัติ ของโลกด้วยซ้ำไป เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ทุกคนรู้จักดีไม่น่าจะตกเป็นคนใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะบริเวณดังกล่าวถือเป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำด้วยหากยังมีการทำผิดเช่นนี้ เรื่อยๆ ต่อไปก็จะไม่เหลืออะไร
ส่วน มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวว่า คงไม่สามารถตอบได้แน่ชัด แต่ที่เคยเจอลักษณะเช่นนี้ที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี พบว่าเมื่อทำสำเร็จแล้วจะมีการเปิดต้นไม้ออกเพื่อให้มองเห็นทะเล และมีการก่อสร้างบ้านหรูๆ ขายผ่านทางอินเตอร์เน็ต และจะมีชาวต่างชาติเข้ามาครอบครองในลักษณะการจัดตั้งเป็นบริษัทจดทะเบียนใน เมืองไทยโดยถือหุ้นเกิน 51 % เมื่อเป็นเช่นนั้นคนไทยก็ไม่สามารถที่จะเข้ามาในพื้นที่ได้ เหมือนๆ กับที่ดินซึ่งติดชายหาดหลายๆ แห่ง

ข่าวประจำวันที่ 08 มี.ค. 55 โดย ยงยศ พฤกษารักษ์ 

Tuesday, February 28, 2012

พร้อมพงศ์ เตรียมเสนอโครงการขยายถนน 4 เลนชุมพร – พังงา ระยะทาง 200 กม.งบกว่า 4 พันล้านบาท




สส.พร้อมพงศ์ เตรียมเสนอโครงการขยายถนน 4 เลนชุมพร – พังงา ระยะทาง 200 กม.งบกว่า 4 พันล้านบาท ด้านภูเก็ตเสนอการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รองรับการท่องเที่ยว ครม.สัญจรที่ภูเก็ต


เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการประชุมปรึกษาหารือ แนวทางการพัฒนาพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันโดยมี นางธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย ประธานกรรมาธิการท่องเที่ยววุฒิสภา นายเรวัต อารีรอบ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ต นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายก่อแก้ว พิกุลทอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายสมบูรณ์ จิรายุส นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต นางพิชญา เมืองเนาว์ ผอ.สปข.5 และส่วนราชการภาคเอกชน 5 จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดระนอง พังงา กระบี่ ตรัง ภูเก็ต ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
สำหรับวาระการประชุมที่สำคัญ การหารือร่วมกันถึงแนวทางการพัฒนาพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ได้แก่ จังหวัดระนอง พังงา กระบี่ ตรัง ภูเก็ต  และการสรุปผลการประชุมปรึกษาหารือแนวทางการพัฒนาพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
นายตรี กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ เป็นการปรึกษาหารือ แนวทางการพัฒนาพื้นที่กลุ่ม 5 จังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ได้แก่ จังหวัดระนอง พังงา กระบี่ ตรัง ภูเก็ต  โดยให้แต่ละจังหวัดเสนอข้อมูลโครงการที่จะพัฒนาจังหวัด เพื่อสรุปข้อมูลในภาพรวมในการนำเสนอการประชุม ครม.นอกสถานที่ ในระหว่างวันที่ 18-20 มีนาคม 2555 ในส่วนของจังหวัดภูเก็ตจะมีการนำเสนอโครงการ รถไฟฟ้ารางเบา เส้นทางจากสนามบินภูเก็ต มายังตัวเมือง โครงการอุโมงค์ลอดเข้าหาดป่าตอง โครงการก่อสร้างถนนคลองเกาะผี โครงการสะพาน  อุโมงค์ข้าม ทางแยก ทางลอด สี่แยกโลตัส สี่แยกไทนาน โครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมนานาชาติไม้ขาว โครงการขยายสนามบินนานาชาติภูเก็ต การขยายโรงพยาบาล เป็นต้น ส่วนงบประมาณจะมีการหารืออีกครั้ง
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า แนวทางการพัฒนาพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่(ครม.สัญจร) ณ จังหวัดภูเก็ต ในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ว่า ตนในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็ได้ประสานร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ส่วนราชการ หอการค้า ผู้ประกอบการท่องเที่ยว กลุ่มจังหวัดอันดามันทั้งหมดว่าจะเสนอโครงการอย่างไรที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนกลุ่มจังหวัดอันดามัน เพื่อให้ทางคณะรัฐมนตรี ได้นำไปพิจารณา
 โดยโครงการที่จะนำเสนอ ครม.สัญจร ที่ได้มีการเสนอและคิดร่วมกัน มีอยู่หลายโครงการด้วยกัน โดยเฉพาะ จ.พังงา เช่น โครงการขยายทางหลวงหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษม เป็น 4 เลน ระหว่าง จ.พังงา ไปถึง 4 แยกปฐมพร จ.ชุมพร ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร ใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งโครงการอยู่ที่ประมาณ 4,000 กว่าล้านบาท โครงการทำเมืองพังงาให้เป็นเมืองแห่งการศึกษา เช่นการดำเนินการเปิดมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตพังงา ที่ ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา  ซึ่งมีการบริจาคที่ดินมาแล้วประมาณ 300 ไร่ เป็นต้น โครงการทำเมืองท่องเที่ยวเชิงระบบนิเวศน์ในกลุ่มจังหวัดอันดามันทั้งหมด โครงการเส้นทางระบบโลจิสติกส์ หรือระบบขนส่งการท่องเที่ยว โดยการขยายรถไฟจาก อ.คีรีรัฐ จ.สุราษฎร์ธานี มาเชื่อมต่อที่บ้านท่านุ่น ต.โคกกลอง อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา หรือมาเชื่อมต่อกับสะพานสารสิน เพื่อให้เกิดการขนส่ง รวมระยะทาง 160 กิโลเมตร โดยขณะนี้มีการเวนคืนที่ดิน และมีการศึกษาไว้แล้ว งบประมาณ 10,000 กว่าล้านบาท
 โครงการเหล่านี้จะเป็นการสร้างระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในการที่จะขยายเรื่องการขนส่ง เรื่องการท่องเที่ยว ทำให้กลุ่มอันดามัน จะมีการสร้างรายได้จากเดิมๆ นักท่องเที่ยวเข้ามาปีละประมาณ 10 ล้านคน โดยในปี 2554 นักท่องเที่ยวผ่านสนามบินภูเก็ต ประมาณ 8.5 ล้านคน ซึ่งมากกว่าปีก่อนๆ และในปี 2555 คาดว่าจะมีมากกว่าปี 2554
 นายพร้อมพงศ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ เรื่องของการปรับปรุงขยายสนามบินนานาชาติภูเก็ต เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 12.5 ล้านคนในปี 2557 โดยจะมีการขยายอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ และอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ รวมทั้งการทำหลุมจอดจาก 15 หลุม เป็น 30 หลุม และการขยายเรื่องระบบขนส่ง ซึ่งรัฐบาลก็ได้อนุมัติงบประมาณไปแล้ว จำนวน 5.7 พันล้านบาท นั้น ในการประชุมครม.สัญจร เราจะนำเสนอในเรื่องให้มีการขยายรันเวย์สนามบินเพิ่มเติมด้วย
 แต่สิ่งที่สำคัญที่ประชาชนต้องการ คือการขยายถนน รวมทั้งรถไฟ ทำสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน รวมถึงการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในหน้าร้อนเดือน เม.ย.ของทุกปี ที่ภูเก็ตจะต้องประสบกับปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค ทำให้ประชาชน และผู้ประกอบการ มีการเจาะน้ำบาดาลกันมากขึ้นทำให้น้ำเค็มมาแทนที่ เกิดแผ่นดินทรุดตัว และทำให้น้ำเกิดมีปัญหา เพราะฉะนั้นการที่จะจัดสรรน้ำอย่างไร และดำเนินโครงการอย่างไรให้น้ำจากแผ่นดินในกลุ่มจังหวัด พังงา หรือกระบี่ นำน้ำเข้ามาในพื้นที่ จ.ภูเก็ตที่เป็นเกาะ รวมทั้งการคมนาคมขนส่งที่สะดวกขึ้น ปัจจัยพื้นฐานคือมีน้ำ มีไฟฟ้า แล้วก็มีระบบการอำนวยความสะดอกเพียงพอ อันนี้จะส่งเสริมการมีรายได้ให้กับพี่น้องในชุมชน จ.พังงา ภูเก็ต กระบี่ ระนอง และสร้างรายได้ภาพรวมของการท่องเที่ยวของประเทศ
 ตนเชื่อว่า ถ้ามีการขยายและมีการลงทุน เม็ดเงินเหล่านี้เช่น กลุ่มอันดามันจ่ายภาษี 3 แสนล้านกระจายงบประมาณกลับมาให้ซักส่วนหนึ่ง ซัก20เปอร์เซ็นต์ของรายได้ที่เสียภาษีไป รายได้ก็จะเพิ่มขึ้นจาก2 แสนล้านต่อปีอาจจะเป็น 3 แสนล้านในปีต่อไป อันนี้ก็เป็นการลงทุนที่ถ้ามองในภาพการลงทุนคุ้มค่า และที่สำคัญจะทำให้วิถีวิชิตของคนกลุ่มจังหวัดอันดามันประกอบด้วย 4 จว.รวมทั้งพี่น้องใน 14 จว.ในภาคใต้ที่มาเป็นผู้ประกอบการแล้วก็มีการประกอบอาชัพเรื่องเกษตรเรื่องประมงก็มีการขายสินค้าได้มากขึ้น ทีนี้ความเป็นอยู่ของคนใต้ 14 จว. จะดีขึ้น

Monday, February 20, 2012

ฟังความเห็นแก้ปัญหาจราจรสามแยกบางคู


เมื่อ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ห้องประชุมใบเรือ โรงแรมโบ๊ทลากูน อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายเลิศ พัดฉวี รองผู้อำนวยสำนักงานทางหลวงกระบี่ (สุราษฎร์ธานี) เป็นประธานเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็น (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2) การสำรวจและออกแบบรายละเอียด โครงการก่อสร้างทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข 402 (ถนนเทพกระษัตรี) กับทางหลวงหมายเลข 402 (ทางเลี่ยงเมืองภูเก็ต) หรือบริเวณสามแยกบางคู ซึ่งกรมทางหลวงได้ว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา ประกอบ บริษัท เอพซิลอน จำกัด บริษัทคอนซัลแตนท์ ออฟ เทคโนโลยี จำกัด และบริษัท ที.พี.เอฟ.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ให้ดำเนินโครงการดังกล่าว โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประชาชนและเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
นาย ธานินทร์ วิรัตน์พงษ์ วิศกรโยธาเชี่ยวชาญ ตัวแทนกรมทางหลวง กล่าวว่า หลังจากที่ได้เคยจัดให้มีการประชุมปฐมนิเทศโครงการไปเมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2554 และมีการประชุมกลุ่มย่อยในพื้นที่ตามแนวเส้นทางของโครงการเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2554 ซึ่งเป็นการนำเสนอรูปแบบ หลักเกณฑ์และวิธีการในการคัดเลือก สำหรับการประชุมในครั้งนี้ เพื่อนำเสนอผลการพิจารณาคัดเลือกรูปแบบที่เหมาะสมและแนวทางการแก้ไขปัญหา จราจรบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง เช่น แยกเกาะแก้ว เป็นต้น รวมทั้งมาตรการเบื้องต้นในการจัดการกับผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และรับฟังความคิดเห็นตลอดจนข้อเสนอแนะจากผู้เข้าร่วมประชุมในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับรูปแบบที่ใช้ในการออกแบบรายละเอียด การแก้ไขปัญหาจราจรบริเวณแยกเกาะแก้ว ตลอดจนแผนการดำเนินงานในขั้นตอนต่อไป ซึ่งกรมทางหลวงและที่ปรึกษาจะได้นำข้อคิดเห็นต่างๆ ไปพิจารณาประกอบในการออกแบบให้มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและทางวิชาการในลำดับต่อไป
"จาก การเสนอทางเลือกในการแก้ปัญหาของการรับฟังความคิดเห็นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งพิจารณาทางด้านวิศวกรรม ด้านการจราจร ด้านการลงทุน และด้านสิ่งแวดล้อม จำนวน 5 ทางเลือก ปรากฎว่า รูปแบบทางเลือกที่ 4 ซึ่งเป็นอุโมงค์ทางตรงลอดใต้ทางแยก (Through Under Pass) ได้คะแนนสูงสุด ซึ่งเป็นการกำหนดให้เส้นทางที่มีปริมาณจราจรมาก คือ เส้นทางเลี้ยวขวาจากสนามบินไปหาดป่าตองเป็นถนนระดับพื้น และตัดกระแสกับรถจากหาดป่าตองที่จะเลี้ยวขวาเข้าเมืองภูเก็ตที่มีปริมาณค่อน ข้างน้อยบริเวณนี้จะใช้สัญญาณไฟจราจรสำหรับรถเลี้ยวขวา และก่อสร้างอุโมงค์ตามแนวถนนเทพกระษัตรีเป็นอุโมงค์ลอดใต้ทางแยกขนาด 2 ช่องจราจร สำหรับจากเมืองภูเก็ตไปสนามบิน และรถบริเวณทางลงอุโมงค์ห้ามลงอุโมงค์ให้ไปยูเทิร์นบนหลังอุโมงค์ เพื่อกลับรถเข้าเมืองภูเก็ต หรือเลี้ยวซ้ายไปกลับรถบริเวณถนนเลี่ยงเมืองเพื่อไปสนามบิน ส่วนรถทางตรงจากสนามบินเข้าเมืองภูเก็ตให้วิ่งระดับพื้น ซึ่งทางบริษัทที่ปรึกษาจะได้นำไปออกแบบรายละเอียดในการก่อสร้างทางแยกต่าง ระดับต่อไป"
นาย ธานินทร์ กล่าวด้วยว่า บริเวณสามแยกบางคู เป็นสามแยกระดับดินที่เป็นจุดตัดระหว่างทางหลวงหมายเลข 402 (ถนนเทพกระษัตรี) กับทางเลี่ยงเมืองภูเก็ต และควบคุมการจราจรด้วยระบบสัญญาไฟบริเวณสามแยก ประกอบกับทางหลวงหมายเลข 402 (ถนนเทพกระษัตรี) เป็นถนนสายหลักเข้าสู่ตัวเมืองภูเก็ต และทางเลี่ยงเมืองภูเก็ตเป็นเส้นทางที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่ นิยมของจังหวัดภูเก็ต เช่น หาดป่าตอง หาดกะตะ หาดกะรน แหลมพรหมเทพ เป็นต้น ปริมาณการจราจรบริเวณทางแยกจึงสูงมาก และมีสภาพคับคั่ง โดยเฉพาะช่วงเช้าและช่วงเย็น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องออกแบบจัดการบริเวณดังกล่าวให้สามารถรองรับ ปริมาณการจราจรในปัจจุบัน และที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับหลักวิชาการและ วิถีชีวิต รวมทั้งออกแบบจัดการจราจรระหว่างการก่อสร้างเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อการจราจร และวิถีชีวิตน้อยที่สุด

Thursday, February 9, 2012

นิทานอีสป เรื่อง ชายเร่ร่อน

คลิ๊กที่ภาพ


เมื่อเดินทางมาถึงเมืองนั้น ชายเร่ร่อนก็เข้าไปในตลาดเพื่อ หาซื้อข้าวของ เเต่บังเอิญเขาถูกสุนัขในตลาดกัดที่น่องจน

เป็นเเผล "ท่านต้องเอาขนมปังชุบเลือดจากเเผล เเล้วนำไปให้สุนัขตัวนั้น กิน

เเผลของท่านจึงจะหายได้เเละไม่เป็นพิษ" พ่อค้าคนหนึ่งเเนะนำ เเต่ ชายเร่ร่อนยิ้มเเล้วกล่าวว่า "ถ้าทำเช่นนั้น

สุนัขทุกตัวในเมืองก็จะมากัดข้าเป็นเเน่ เพราะรู้ว่า

เมื่อกัดข้าเเล้วจะได้กินขนมปัง" 

นิทานเรื่องนี้ให้คติสอนใจ และสอนให้รู้ว่า ถ้าใช้เงินซื้อศัตรู มีเเต่จะได้ศัตรูมากขึ้นเรื่อยๆ





นิทานอีสป เรื่อง เมื่อสุนัขกัด

Sunday, February 5, 2012

ชาวภูเก็ตผู้รักและปกป้องสถาบัน 100 กว่าคน เข้ายื่นหนังสือคัดค้านการแก้ไขประมวลอาญา


กลุ่มประชาชนชาวภูเก็ตผู้รักและปกป้องสถาบัน 100 กว่าคน เข้ายื่นหนังสือคัดค้านการแก้ไขประมวลอาญามาตรา 112 เพื่อยุติการกระทำของกลุ่มนิติราษฎร์

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต กลุ่มประชาชนชาวจังหวัดภูเก็ตผู้รักและปกป้องสถาบัน จำนวน 100 กว่าคน เดินทางเข้ายื่นหนังสือคัดค้านการแก้ไขประมวลอาญามาตรา 112 ถึง รัฐบาล ผ่านทาง นายสมเกียรติ สังข์ขาวสุทธิรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นำโดย นายสมาน เกาะเหล็ก นายดอน ลิ้มนันท์พิสิษฐ์ นางสาว อาภารัตน์ ชาติชุติกำจร และกลุ่มประชาชนชาวจังหวัดภูเก็ต เพื่อร้องเรียนให้กลุ่มนิติราษฎร์และแนวร่วมยุติการล่ารายชื่อในพื้นที่ จังหวัดภูเก็ต โดยการถือป้ายโจมตีกลุ่มนิติราษฎร์ต่างๆ เช่น วรเจตน์ต่างจากคุณทองแดงอย่างไร ตอบด้วย, วรเจตน์ มีชื่อว่า “วรนุช” ,คณะนิติราษฎร์คือคณะที่มีอุดมการณ์เดียว คือเนรคุณ เป็นต้น
 นายดอน กล่าวว่า ตามที่กลุ่มนิติราษฎร์และกลุ่มแนวร่วมได้เสนอและแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจนที่จะแก้ไข ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และเสนอให้แก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 50 ซึ่งรวมทั้งหมวด 2 พระ มหากษัตริย์ด้วย ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ หมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ง่ายและหนักข้อมากขึ้น รวมถึงข้อเสนอให้พระมหากษัตริย์ต้องสาบานตนว่าจะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและ พิทักษ์ไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ ก่อนเข้ารับตำแหน่ง โดยกล่าวอ้างถึงประมุขในระบอบประชาธิปไตยของต่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งข้อเสนอต่างไล้วนแล้วแต่สอดรับขบวนการล้มสถาบันที่ดำเนินการอยู่อย่าง ต่อเนื่องและเหิมเกริมขึ้นทุกวัน และพยายามลดฐานะ ลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ การกระทำดังกล่าวข้างต้น ไม่ใช่หนทางในการสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ของคนในชาติ แต่ตรงกันข้ามกลับเป็นการทำลายความมั่งคงของราชอาณาจักร โดยทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ก่อนและเพิ่มความแตกแยกของคนในชาติให้มากขึ้น ไปอีก แทนที่กลุ่มดังกล่าวนี้ควรทำในสิ่งที่สำคัญกว่าคือการเสนอวิธีการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ของนักการเมืองไทยทุกระดับที่กำลังเป็นมะเร็งร้ายของประเทศนี้
นาย ดอน กล่าวอีกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ได้ทรงพระราชทานพระปฐมบรมราชโองการ ว่า “ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ตลอดกว่า 60 ปี ที่ครองราชย์พระองค์ทรงดำรงในทศพิศราชธรรม ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการช่วยให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤตมานับครั้งไม่ ถ้วน พระองค์จึงทรงเป็นดั่งศูนย์รวมใจและทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของประชาชนไทย ทั่งทั้งแผ่นดิน จึงนำไปเปรียบกับประมุขของประเทศอื่นหาไม่ได้ ดังนั้น ทางกลุ่มประชาชนชาวจังหวัดภูเก็ตผู้รักและปกป้องสถาบัน จึงขอคัดค้านกลุ่มนิติราษฎร์และกลุ่มแนวร่วมต่างๆที่ร่วมกันเสนอจะแก้ไข ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  และกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 50 หมวด 2 พระ มหากษัตริย์ โดยให้ยุติการกระทำข้างต้นโดยทันที แต่ถ้าหากกลุ่มดังกล่าวยังไม่ยุติและมีการดำเนินการล่ารายชื่อในพื้นที่ จังหวัดภูเก็ต ทางกลุ่มประชาชนชาวจังหวัดภูเก็ตผู้รักและปกป้องสถาบันก็จะดำเนินการคัดค้าน และต่อต้านอย่างถึงที่สุด 
ด้าน นาย สมเกียรติ สังข์ขาวสุทธิรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่คนภูเก็ตได้ออกมาแสดงพลังปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และเชื่อว่าทุกคนในภูเก็ตมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และวงศานุ วงศ์ หนังสือดังกล่าวทางจังหวัดภูเก็ตจะส่งด่วนไปยังกระทรวงมหาดไทย และส่งต่อไปยังรัฐบาล เพื่อที่ทางรัฐบาลจะได้นำเสนอไปยังฝ่ายนิติบัญญัติว่าการแก้ไขประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 112 นั้น คนภูเก็ตไม่เห็นด้วย

Tuesday, January 24, 2012

ชุดฉก.มท.เตรียมลุยรถป้ายดำและผู้มีอิทธิพล


นาย ตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยว่า จากกรณีปัญหารถป้ายดำที่ให้บริการผู้โดยสารตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ของจังหวัดภูเก็ต ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการร้องเรียนมายังจังหวัดเกี่ยวกับการรับส่งผู้โดยสารโดย เฉพาะกรณีที่ไม่ยอมให้รถต่างพื้นที่เข้าไปรับผู้โดยสารในพื้นที่ที่มีรถให้ บริการประจำถิ่นอยู่แล้ว มีการแย่งผู้ โดยสาร จนมีปัญหากระทบกระทั่งกันระหว่างผู้ขับขี่ถึงขั้นมีการข่มขู่ และทำร้ายร่างกาย รวมไปถึงการคิดอัตราค่าโดยสารที่ไม่เป็นธรรม และเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง เช่น ป่าตอง กะตะกะรน สาคู เป็นต้น ล่าสุดได้รับการประสานจากส่วนกลางว่ามีผู้ร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว ไปยังกระทรวงมหาดไทยและนายกรัฐมนตรี แล้ว โดยทางกระทรวงมหาดไทยจะตั้งชุดเฉพาะกิจลงมาดูแลและแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงเรื่องของกลุ่มผู้มีอิทธิพลต่างๆ ด้วย คาดว่ามีการลงพื้นที่มาประมาณเดือนกุมภาพันธ์นี้

“กับปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นทาง จังหวัดเองไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่องแต่ก็ทำได้ยาก เพราะหากจะจัดการขั้นเด็ดขาดไปเลยก็จะมีการต่อต้าน และจะไปมีผลกระทบกับการท่องเที่ยวได้ และต้องยอมรับว่าปัญหาของแท็กซี่ป้ายดำนั้นเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกมานาน ไม่สามารถที่จะดำเนินการแก้ปัญหาทั้งระบบได้ในทันทีทันใด และต้องใช้เวลาพอสมควร รวมทั้งจะต้องอาศัยกำลังจากส่วนกลางเข้ามาช่วยอีกทางหนึ่งด้วย”
นาย ตรี กล่าวว่า การแก้ปัญหาในช่วงที่ผ่านมาทางจังหวัดโดยสำนักงานขนส่งจังหวัดภูเก็ต ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ให้บริการตามจุดต่างๆ พยายามจะนำรถบริการป้ายดำมาขึ้นทะเบียน เพื่อทำการเปลี่ยนรถป้ายดำให้เป็นรถป้ายเขียวโดยให้อยู่ในรูปของสหกรณ์ และมีจุดให้บริการที่ชัดเจน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที รวมถึงการกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ในการให้บริการเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและสามารถตรวจสอบได้กรณีที่เกิด ปัญหาขึ้น ซึ่งได้รับการตอบรับในระดับหนึ่ง เป้าหมายต่อจากนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นรถมิเตอร์ แต่ก็มีปัญหาในเรื่องระเบียบหลักเกณฑ์ของทางราชการที่มีข้อกำหนดชัดเจนกรณี เปลี่ยนเป็นรถมิเตอร์ เช่น ขนาดของเครื่องยนต์ อายุของรถ เป็นต้น ทำให้เจ้าของรถบางรายไม่สามารถดำเนินการได้ และการจะซื้อรถใหม่ก็จะต้องใช้เงินลงทุนสูง ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงยังไม่ประสบผลและเป็นไปค่อนข้างล่าช้า 

เขียนโดย ยงยศ พฤกษารักษ์