Monday, June 27, 2011

ต่อ...บทที่ 1 โลกานุวัตร กำเนิดทุนนิยม [กลับรายการหลัก] 2/2

จากสงครามเย็นสู่ การล่มสลายของรัฐสวัสดิการ สงครามเย็น เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ระหว่งกลุ่มประเทศโลกเสรี (อเมริกา อังฤษ ฝรั่งเศส) กับกลุ่มประเทศโลกสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ (สหภาพโซเวียต จีน) (4) จุดที่เป็น ดุลอำนาจแห่งความกลัว คือ การป้องกัน การแผ่ขยายลัทธิสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ ซึ่งฝ่ายโลกเสรีเชื่อว่า คอมมิวนิสต์จะทำลายระบบทุนนิยม เป็นเหตุให้เกิดองค์กรต่อต้านคอมมิวนิสต์หลายองค์การ เช่น องค์การ NATO (ป้อมปราการด้านยุโรป) องค์การ SEATO (ป้อมปราการด้านเอเชียอาคเนย์) องค์การ ANZUS (ป้อมปราการด้านมหาสมุทธแปซิฟิกใต้ในขณะเดียวกันที่กลุ่มประเทศสังคมนิยม ก็ก่อตั้งองค์การ สนธิสัญญาวอร์ซอ (Warsaw pact) ขึ้นเพื่อป้องกันตัวเอง คลื่นสงครามเย็นลูกที่ 1 ได้อ่อนกำลังลงพร้อมกับการถดถอยในการพัฒนาทุนในกลุ่มปาะเทศสังคมนิยม ขณะเดียวกันที่กระแสทุนนิยมโลก กลับพุ่งแรงขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1980 สร้างความสงสัยใหักับประชาชนกลุ่มประเทศสังคมนิยมว่า ระบบสังคมนิยมนี้จะช่วยให้ชีวิตของเขาดีขึ้นจริงหรือ ทั้งที่ภาวะเศรษฐกิจกลับทรุดลงทุกปี ในที่สุดคลื่นสงครามเย็นลูกที่ 1 ก็สิ้นสุดลงพร้อมกับการล่มสลาย ของสหภาพโซเวียต และระบบรัฐสวัสดิการสังคมนิยมไม่ทันที่คลื่นสงครามเย็นลูกที่1 จะจางหายไป ก็เกิดคลื่นสงครามเย็น ลูกที่ 2 ขึ้นอีก ภายหลังสงคราม อิรักกับอิหร่าน โดยที่อเมริกาเป็นคู่ปรับ กับกลุ่มประเทศอิสลาม กลุ่มประเทศอิสลาม จนกระทั่งไฟสงครามได้ปะทุขึ้น ในคราวสงคราม อ่าวเปอร์เซีย ให้ชาวโลกได้เห็น คลื่นสงครามเย็นลูกแรก ขัดแย้งกันด้วยอุดมการณ์ทางเศรษฐกิจ แต่ลูกคลื่นที่สองขัดแย้งกันด้วย ลัทธิศาสนา และความเป็นชาตินิยม ซึ่งถือว่าร้ายแรงยิ่งกว่า
การสลาย รัฐสวัสดิการของนางมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ แห่งอังกฤษ และการสลาย ระบบเศรษฐกิจแบบ รวมศูนย์อำนาจ จากรัฐบาลกลาง สู่ท้องถิ่น ของนายมิคาอิล กอร์บาชอฟ แห่งสหภาภาพโซเวียต ได้กลายมาเป็นต้นแบบให้แก่ประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกปฏิบัติตาม
ระบบรัฐสวัสดิการในรัสเซีย ได้ถือกำเนิดขึ้น เมื่อราว ปี ค.ศ. 1917 มีหลักการสำคัญคือรัฐต้องเลี้ยงดู หรือให้ประกันทางสังคมแก่ประชาชน เพื่อเป็นการทดแทนแรงงานที่พวกเขาสร้างให้แก่รัฐ ในปี ค.ศ. 1978 จีน เริ่มนำระบบทุนนิยมเข้าไปใช้ ทำให้คอมมูนกว่า 50,000 แห่ง ต้องปิดตัวเองลง และให้ประชาชน มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินมากขึ้น เปิดกิจการการซื้อหายหุ้น และกิจการการให้เช่า ปี ค.ศ. 1988 ประธานาธิบดีกอร์บาชอฟ ได้ประกาศยกเลิก ระบบนารวม พร้อมกับ ให้เกษตรกรมีกรรมสิทธิ์ ในที่ดินมากขึ้น
ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1979 - 1989 นางมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ได้ทำการผ่าตัดระบบรัฐสวัสดิการในอังกฤษ ด้วยการโอนกิจการรัฐวิสาหกิจเกือบทุกประเภทให้เป็นของเอกชน เช่นการไฟฟ้า การประปา การรถไฟ การไปรษณีย์ เหมืองถ่านหิน และป่าไม้ เป็นต้น
การสลายรัฐสวัสดิการ คือ การย้ายโอนอำนาจ การดำเนินการ จากรัฐบาลกลาง มาเป็นของเอกชน จากบ้านสวัสดิการ มาเป็นบ้านที่มีเจ้าของเป็นกรรมสิทธิ์ จากการรอรับ การรักษาจากรัฐ มาเป็นการเลือก ที่จะเข้ารับการักษา จากภาคเอกชน จากรัฐเป็นผู้กำหนดนโยบายการผลิตและการตลาด มาเป็นการเปิดตลาดเสรี จากการรับสวัสดิการจากรัฐแต่เพียงอย่างเดียว มาเป็นรับงานมาทำมากขึ้น จากลัทธิรวมหมู่ มาเป็นลัทธิปัจเจกชน (Individualism) จากรัฐผูกขาด มาเป็นการแข่งขันเสรี จากอุตสาหกรรมโดยรัฐ มาเป็นบริษัทเอกชน จากเพิ่มภาษี มาเป็นการลดภาษี
รัฐสวัสดิการแบบสังคมนิยม กับแบบเสรีทุนนิยม นั้น มีความแตกต่างกันตรงที่ รัฐสวัสดิการแบบสังคมนิยม ถือว่าเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะพึงตอบแทนต่อประชาชน ที่ทำงานให้รัฐ เพื่อให้เขาไม่ต้องเสี่ยงภัยในความอดอยาก และขาดแคลนที่อยู่อาศัย ทำให้การพัฒนาด้านเศรษฐกิจหยุดชงัก เนื่องจากกรรมกรขาดแรงจูงใจ (เพราะไม่มีสิ่งล่อใจให้เกิดความขี้โลภ) ในการทำงาน หรือคิดค้นประดิษฐกรรมใหม่ ๆ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีกรรมสิทธิ์ในผลผลิตส่วนเกิน
ส่วนรัฐสวัสดิการแบบเสรี เป็นสวัสดิการของรัฐที่อำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการประกอบธุรกิจ และความเป็นอยู่ที่สุขสบายอยู่แล้วให้สุขสบายยิ่งขึ้น ธุรกิจรัฐสวัสดิการสร้างผลกำไรจากการลงทุนได้มากกว่า นั่นหมายถึงว่า การบริโภคก็ย่อมมีมากขึ้นด้วย (เป็นยุคทอง แห่งความฟุ้งเฟ้อ - Mass consumption) ด้วยความโลภของมนุษย์ ที่ต้องการเสพความสะดวกสบายยิ่ง ๆ ขึ้น เมื่อรัฐเปิดโอกาส ให้เอกชนเข้าดำเนินกิจการ ด้านสวัสดิการ จึงไม่มีเอกชนคนใดจะปฏิเสธ กลับได้รับการยอมรับมากขึ้น
สาเหตุแห่งการล่มสลายของระบบรัฐสวัสดิการสังคมนิยม
1. อิทธิพลของลัทธิทุนนิยมระดับโลก (Glovbalialism)
2. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม ทำให้โลกทัศน์ของชาวไร่ชาวนา และกรรมกร เปลี่ยนไป ได้รับการกระตุ้นมากขึ้น พร้อมกับการเกิดระบบเงินตราแบบใหม่ (electric money)
3. ความล้มเหลวของเศรษฐกิจสวัสดิการที่รวมศูนย์อำนาจจากส่วนกลาง ไม่อาจตอบสนองความต้องการของประชาชนได้
4. ภาระค่าใช้จ่ายทางด้านสวัสดิการสังคมของรัฐ สูงขึ้น ต้องเพิ่มอัตราภาษี ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมระหว่างกลุ่มผู้ทำงาน กับกลุ่มที่รัฐจะต้องเลี้ยงดู ทั้งยังมีการหนีงานของกรรมกร และชาวเกษตรกร พร้อมกับการเลี่ยงภาษี
สาเหตุของการล่มสลายของรัฐสวัสดิการเสรีทุนนิยม
1. กระแสความต้องการบริโภค และการ เลือกบริโภค พุ่งสูงขึ้น (Mass consumption) ทำให้รัฐไม่สามารถ ผลิตสินค้าและบริการ ให้เพียงพอ แก่ความต้องการของประชาชนได้ ในขณะที่การระดมทุนในภาคเอกชนทำให้การดำเนินธุรกิจ มีความคล่องตัว กว่าที่รัฐเคยทำ และกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น
2. การแข่งขันการผลิต แบบ Assemblyline ซึ่งทำให้เกิด Mass production ซึ่งเอกชนสามารถทำได้หลากหลายกว่าที่รัฐเคยทำ สามารถผลิตสินค้าและบริการให้ประชาชนเลือกได้มากกว่า ในขณะที่รัฐมีแบบให้เลือกเพียงไม่กี่แบบ
3. ความรู้สึกในกรรมสิทธิ์ทางธุรกิจ ทำให้เกิดประดิษฐกรรม และการพัฒนาประดิษฐกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
4. ลัทธิปัจเจกชน (Individualism) กำลังได้รับความนิยม เพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และ เครื่องอัตโนมัติ (Automation) ทำให้ลดการใช้แรงงานลง และตอบสนองความสามารถในระดับบุคคลได้ และเป็นที่ยอมรับทั่วโลก
5. เกิดการแข่งขันกันในเขตการค้าเสรี (Free trade) ทำให้เอกชนได้รับเชิญให้เข้าไปร่วมกลุ่มกันมากขึ้น เฮือกสุดท้ายของทุนนิยม
การเกิด เขตตลาดการค้าเสรี (Free trade) และความก้าวหน้า ทางเทคโนโลยีการสื่อสาร และโทรคมนาคม ทำให้โลกทั้งโลกเป็นโลกที่ ไร้พรมแดน มากขึ้น การรวมกลุ่มทางธุรกิจทุนนิยมเริ่มขยายวงกว้างขึ้น โดยต่างก็มุ่ง ที่จะรักษาผลประโยชน์ภายในกลุ่มของตน Free trade มีจุดมุ่งหมาย เพื่อลดกำแพงภาษีระหว่างประเทศสมาชิก เพื่อให้เกิดเสรีภาพในการลงทุน การผลิต และการให้บริการ รวมทั้งเป็นการป้องกันสงครามที่จะเกิดขึ้น อันเนื่องมาจาก ความขัดแย้งกันทางธุรกิจ Free trade จึงเป็นการ "รวมหัว" กันบริโภค ทรัพยากร ของโลกให้หมดไปโดยเร็ว
กลุ่มประเทศที่รวมกันเพื่อจัดตั้ง Free trade ได้แก่
1. กลุ่มประชาคมยุโรป (EC) ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1989 จนถึงปี ค.ศ. 1992 กลุ่ม EC ได้บรรลุเป้าหมายสูงสุดในการเปิดตลาดเสรี คือทุกประเทศในกลุ่ม EC จะได้รับสิทธิพิเศษดังนี้
-จะไม่มีการตรวจสอบการผ่านแดน (โลกไร้พรมแดน)
-ไม่มีการเก็บภาษีทั้งขาเข้า ขาออก เพราะทุกประเทศในกลุ่ม EC ถือว่าเป็นประเทศทางธุรกิจเดียวกัน
-สินค้าเคลื่อนย้ายได้รวดเร็วขึ้น ไม่ต้องรอตรวจ ณ จุดผ่านแดน
-ใช้ระบบการเงินการธนาคารเดียวกัน
-ประชากรทุกคนมีเสรีภาพในการเลือกบริโภคอย่างหลากหลายมากขึ้น
-คนชั้นกลางจะกลายเป็นนายทุน
2. กลุ่มแนวร่วมการค้าเสรี ตามข้อตกลงว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า (GATT)
3. กลุ่มแนวร่วมการค้าเสรีแห่งอาเซียน (AFTA)
4. กลุ่มแนวร่วมการค้าเสรีแห่งอเมริกาเหนือ (NAFTA)
ทันทีที่ Free trade เกิดขึ้น เงาแห่งความกลัวที่จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบก็เกิดขึ้น นั่นคือ ในบางประเทศได้ตั้งนโยบายกีดกันสินค้าต่างชาติ Protection ขึ้น พร้อมกับการหวนกลับคืนมาของลัทธิชาตินิยม
บทเรียนสุดท้ายของโลกานุวัตร
ท่ามกลางความหลงใหลเพลิดเพลินในการเสพความสะดวกสบาย ความตายของทุน ก็เริ่มเข้ามา เพราะ Mass production และ Mass comsumption จะทำให้ ทุนจริง (real economy) หดหายไป ส่งผลให้เกิดการสะสมทุนและกำไรแบบใหม่ ที่โหดร้าย ผิดศีลธรรม นี่คืออันตรายของ ทุนปลอม นับเป็นจุดจบของระบบทุนนิยมที่ไม่สวยหรู เพราะได้ทิ้งปัญหา และความหมักหมมของมลพิษไปทั่วโลก วิกฤตการณ์แห่งการล่มสลายของระบบทุนนิยมกำลังก่อตัวขึ้นแล้ว เพื่อรอการปฏิวัติทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่เคยมีมา เพื่อการพัฒนา ไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียว ของเศรษฐกิจระดับโลก (Single Economy) ในรอบศตวรรณที่ 21

No comments:

Post a Comment